จามจุรี แซ่ซื้อ หรือ พี่มินนี่
เล่าให้เราฟังว่า เริ่มรู้จักมูลนิธิกระจกเงาตั้งแต่ตอนที่กำลังหาที่ฝึกงาน
ตอนแรกคุยกับเพื่อนว่าจะไปฝึกที่สำนักงานเชียงราย
แต่ก็กลัวว่าอาจารย์จะไม่สะดวกตอนไปนิเทศ เลยเลือกที่จะมาฝึกงานที่สำนักงานกรุงเทพฯแทน
โครงการแรกที่เลือกทำตอนมาฝึกงานคือ โครงการการจัดการภัยพิบัติ
เพราะว่าตัวพี่เองเรียนสายพัฒนาชุมชนมาก็จะชอบลงพื้นที่
พอฟังจากชื่อโครงการแล้วก็คิดว่ามันต้องได้อยู่ข้างนอกแน่เลย
แต่ปรากฏว่าตอนที่เข้ามาทำหน้างานมันยังไม่มีอะไร พี่ๆเจ้าหน้าที่เลยให้กระจายไปอยู่โครงการอื่นโครงการละหนึ่งคน
ตัวพี่มินนี่เองก็เลยได้มาอยู่โครงการโรงพยาบาลมีสุข
ส่วนที่ได้มาทำงานที่มูลนิธิกระจกเงาก็เพราะว่าตอนช่วงใกล้เรียนจบ
พี่เก่งหัวหน้าโครงการโรงพยาบาลมีสุขก็มาคุยว่าอยากทำงานกับพี่ไหม พี่ก็เลยคิดว่า
ไหนๆก็ฝึกงานโครงการนี้แล้ว ได้เห็นหน้างาน ลักษณะงานแล้วว่าเป็นยังไง ก็เลยสนใจ
ซึ่งหน้าที่ในการทำงาน ก็ทำทุกอย่างเลย
ตั้งแต่เรื่องการลงพื้นที่เพราะการลงพื้นที่แต่ละครั้งก็จะมีการติดต่อประสานงานทั้งฝ่ายโรงพยาบาลและฝ่ายอาสาสมัคร
รวมไปถึงเรื่องงานเอกสารพี่มินนี่ก็จะดูแลเรื่องของการเงิน แล้วก็ช่วยพี่เก่งในเรื่องของการทำรายงานสรุปผลโครงการ
พี่มินนี่เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ประทับใจที่ได้จากการไปลงพื้นที่ให้เราฟังว่า
จะมีเคสของน้องคนหนึ่งชื่อว่า น้องบิว น้องบิวป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
คือเขาต้องทำคีโมแต่เกิดอาการแพ้ ทำให้ทานอาหารไม่ได้ จะกลืนน้ำทีนึงก็ลำบาก
ผิวหนังของเขาก็เหมือนคนถูกน้ำร้อนลวก
ซึ่งก่อนหน้านี้น้องบิวก็ได้มาร่วมกิจกรรมในห้องเรียนกับเราก็คุ้นเคยกันในระดับนึง
เขาก็เลยบอกคุณครูว่า อยากเจอพี่มินนี่กับพี่มิตร พี่มิตรคือนักศึกษาฝึกงาน
ให้ช่วยพามาได้ไหม ถึงเขาอาจจะพูดไม่ค่อยได้แต่เขาก็พยายามสื่อสาร
ปรากฏว่าพี่ได้ไปหาเขาก่อนเพราะพี่มิตรฝึกงานเสร็จไปแล้ว
ตอนที่พี่เห็นเขาครั้งแรกพี่จำเขาไม่ได้เลย ตัวเขาบวมมาก
ผิดปกติจากเดิมแต่พี่เห็นแววตาเขาดีใจที่ได้เจอกับคนคุ้นเคย มันทำให้พี่เห็นได้ว่า
กำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญมากในเรื่องของการรักษา เราได้เห็นเขาจนเขาอาการดีขึ้น
เคสน้องบิวเป็นเคสที่ทำให้พี่มีความเชื่อว่า กำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
คนที่ไม่ใช่ญาติเราแต่เขาสนใจเรา เป็นห่วงเรา มันก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น
เมื่อเราถามพี่มินนี่ถึงการที่ได้มาทำงานตรงจุดนี้ได้อะไรกลับไปบ้าง
พี่มินนี่บอกให้ฟังว่า น่าจะเป็นเรื่องของมุมมองความคิดมากกว่า
ได้เห็นคุณค่าของการมีชีวิต
อย่างที่บอกที่เราชอบคิดเปรียบเทียบว่าทำไมเราไม่มีโอกาสนั่นนี่
เราจะได้เห็นว่าชีวิตหนึ่งของเราที่ไม่เจ็บไม่ป่วยมันมีคุณค่าขนาดไหน
เราได้ใช้ชีวิตอิสระ ได้กินอะไรที่อยากกิน ได้ทำอะไรที่อยากทำ แต่ในขณะเดียวกันเด็กที่ป่วยในโรงพยาบาลบางคนแม้อยากจะกินขนม
น้ำอัดลม ก็ไม่ได้กิน เขาต้องถูกบังคับให้อยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ต้องควบคุม
มันทำให้เรารู้สึกว่าเราโชคดี
โดย น.ส.อมรรัตน์ เงินสูงเนิน
นักศึกษาฝึกงาน มูลนิธิกระจกเงา