แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องเล่านักศึกษาฝึกงาน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องเล่านักศึกษาฝึกงาน แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

บทสัมภาษณ์พี่มินนี่ จนท. โครงการ รพ มีสุข

            จามจุรี  แซ่ซื้อ หรือ พี่มินนี่ เล่าให้เราฟังว่า เริ่มรู้จักมูลนิธิกระจกเงาตั้งแต่ตอนที่กำลังหาที่ฝึกงาน ตอนแรกคุยกับเพื่อนว่าจะไปฝึกที่สำนักงานเชียงราย แต่ก็กลัวว่าอาจารย์จะไม่สะดวกตอนไปนิเทศ เลยเลือกที่จะมาฝึกงานที่สำนักงานกรุงเทพฯแทน โครงการแรกที่เลือกทำตอนมาฝึกงานคือ โครงการการจัดการภัยพิบัติ เพราะว่าตัวพี่เองเรียนสายพัฒนาชุมชนมาก็จะชอบลงพื้นที่ พอฟังจากชื่อโครงการแล้วก็คิดว่ามันต้องได้อยู่ข้างนอกแน่เลย แต่ปรากฏว่าตอนที่เข้ามาทำหน้างานมันยังไม่มีอะไร พี่ๆเจ้าหน้าที่เลยให้กระจายไปอยู่โครงการอื่นโครงการละหนึ่งคน ตัวพี่มินนี่เองก็เลยได้มาอยู่โครงการโรงพยาบาลมีสุข ส่วนที่ได้มาทำงานที่มูลนิธิกระจกเงาก็เพราะว่าตอนช่วงใกล้เรียนจบ พี่เก่งหัวหน้าโครงการโรงพยาบาลมีสุขก็มาคุยว่าอยากทำงานกับพี่ไหม พี่ก็เลยคิดว่า ไหนๆก็ฝึกงานโครงการนี้แล้ว ได้เห็นหน้างาน ลักษณะงานแล้วว่าเป็นยังไง ก็เลยสนใจ ซึ่งหน้าที่ในการทำงาน ก็ทำทุกอย่างเลย ตั้งแต่เรื่องการลงพื้นที่เพราะการลงพื้นที่แต่ละครั้งก็จะมีการติดต่อประสานงานทั้งฝ่ายโรงพยาบาลและฝ่ายอาสาสมัคร รวมไปถึงเรื่องงานเอกสารพี่มินนี่ก็จะดูแลเรื่องของการเงิน แล้วก็ช่วยพี่เก่งในเรื่องของการทำรายงานสรุปผลโครงการ
            พี่มินนี่เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ประทับใจที่ได้จากการไปลงพื้นที่ให้เราฟังว่า จะมีเคสของน้องคนหนึ่งชื่อว่า น้องบิว น้องบิวป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง คือเขาต้องทำคีโมแต่เกิดอาการแพ้ ทำให้ทานอาหารไม่ได้ จะกลืนน้ำทีนึงก็ลำบาก ผิวหนังของเขาก็เหมือนคนถูกน้ำร้อนลวก ซึ่งก่อนหน้านี้น้องบิวก็ได้มาร่วมกิจกรรมในห้องเรียนกับเราก็คุ้นเคยกันในระดับนึง เขาก็เลยบอกคุณครูว่า อยากเจอพี่มินนี่กับพี่มิตร พี่มิตรคือนักศึกษาฝึกงาน ให้ช่วยพามาได้ไหม ถึงเขาอาจจะพูดไม่ค่อยได้แต่เขาก็พยายามสื่อสาร ปรากฏว่าพี่ได้ไปหาเขาก่อนเพราะพี่มิตรฝึกงานเสร็จไปแล้ว ตอนที่พี่เห็นเขาครั้งแรกพี่จำเขาไม่ได้เลย ตัวเขาบวมมาก ผิดปกติจากเดิมแต่พี่เห็นแววตาเขาดีใจที่ได้เจอกับคนคุ้นเคย มันทำให้พี่เห็นได้ว่า กำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญมากในเรื่องของการรักษา เราได้เห็นเขาจนเขาอาการดีขึ้น เคสน้องบิวเป็นเคสที่ทำให้พี่มีความเชื่อว่า กำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญมาก คนที่ไม่ใช่ญาติเราแต่เขาสนใจเรา เป็นห่วงเรา มันก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น

            เมื่อเราถามพี่มินนี่ถึงการที่ได้มาทำงานตรงจุดนี้ได้อะไรกลับไปบ้าง พี่มินนี่บอกให้ฟังว่า น่าจะเป็นเรื่องของมุมมองความคิดมากกว่า ได้เห็นคุณค่าของการมีชีวิต อย่างที่บอกที่เราชอบคิดเปรียบเทียบว่าทำไมเราไม่มีโอกาสนั่นนี่ เราจะได้เห็นว่าชีวิตหนึ่งของเราที่ไม่เจ็บไม่ป่วยมันมีคุณค่าขนาดไหน เราได้ใช้ชีวิตอิสระ ได้กินอะไรที่อยากกิน ได้ทำอะไรที่อยากทำ แต่ในขณะเดียวกันเด็กที่ป่วยในโรงพยาบาลบางคนแม้อยากจะกินขนม น้ำอัดลม ก็ไม่ได้กิน เขาต้องถูกบังคับให้อยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ต้องควบคุม มันทำให้เรารู้สึกว่าเราโชคดี



โดย น.ส.อมรรัตน์  เงินสูงเนิน  
นักศึกษาฝึกงาน มูลนิธิกระจกเงา


วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

คำบอกเล่าจาก เจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา

     กรวิกา ก้อนแก้ว หรือ พี่เก่ง เจ้าหน้าที่โครงการโรงพยาบาลมีสุข มูลนิธิกระจกเงาเล่าให้เราฟังถึงตอนที่รู้จักมูลนิธิกระจกเงาครั้งแรกว่า ได้ยินชื่อมูลนิธิกระจกเงามาตั้งแต่ม.4 เพราะตอนนั้นเรียนอยู่ที่โรงเรียนในตัวจังหวัดเชียงราย ชื่อโครงการที่รู้จักโครงการแรกเลยคือ โครงการครูบ้านนอก ที่เชียงราย ตอนนั้นก็รู้สึกว่าอยากจะเป็นครูบ้านนอกแต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรจนเงียบหายไป มารู้จักมูลนิธิกระจกเงาอีกทีตอนที่พี่เจี๊ยบหัวหน้าโครงการ NGOs cyber มาฝึกงาน ช่วงที่ฝึกงานพี่เจี๊ยบฝึกในโครงการไอทีอยู่ที่สำนักงานเชียงราย แล้วพี่เจี๊ยบก็ได้เป็นเจ้าหน้าที่ ซึ่งตอนนั้นมีตำแหน่งงานว่างอยู่เป็นตำแน่งการเงินของสำนักงานกรุงเทพ พี่เจี๊ยบก็ได้ไปประกาศบนเว็ปของรุ่นว่ามีใครสนใจไหม พี่ก็เลยมาสมัครในตำแหน่งการเงินแล้วก็เริ่มงานตั้งแต่ตอนนั้นมา เมื่อพูดถึงตำแหน่งหน้างานในปัจจุบัน พี่เก่งเล่าให้ฟังว่า ตนทำอยู่ในส่วนของโครงการโรงพยาบาลมีสุขมาได้ประมาณ 9 ปีแล้ว ในตัวโครงการโรงพยาบาลมีสุขจะเป็นงานที่ทำเกี่ยวกับอาสาสมัคร คือหมายถึงการระดมอาสาสมัครเข้าไปเพิ่มความ สุขลดความทุกข์ให้กับผู้ป่วยเด็กในโรงพยาบาล ในส่วนของพี่ก็จะทำตั้งแต่กระบวนการคิดว่าจะยังไงให้เด็กมีความสุขเเล้วเมื่อเด็กมีความสุขมันก็จะส่งผลโดยอ้อมไปยังผู้ปกครอง เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ได้ยังไง ซึ่งก่อนที่จะทำโครงการโรงพยาบาลมีสุข ตัวพี่เก่งเองก็ต้องเข้าไปเป็นอาสาสมัครในโรงพยาบาลเป็นเวลา 1 ปี เพื่อเก็บข้อมูล ช่วงแรกๆที่ทำโครงการมันก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเพราะด้วยความที่เราเป็น NGO เขาก็จะกลัวว่าเราไปหาผลประโยชน์กับเด็กป่วยหรือเปล่า ทางเราเองก็ต้องพิสูจน์ไปเรื่อยๆ และทำให้สม่ำเสมอ พยายามคิดค้นกิจกรรมใหม่ๆที่จะสามารถช่วยได้จริงๆ เพราะเรื่องของความไว้เนื้อเชื่อใจในโรงพยาบาลมันมีความต้องการสูงเพราะมันเป็นพื้นที่ที่ต้องการความปลอดภัยสูง การลงพื้นที่แต่ละครั้งเราก็ต้องมีไหวพริบ คอยสังเกตว่าเด็กแต่ละคนขาดหรือต้องการอะไรเราก็ต้องวิเคราะห์ เมื่อวิเคราะห์ได้เราก็ต้องกลับมาออกแบบกิจกรรมว่ากิจกรรมควรจะเป็นแบบไหน
      ฝากข้อคิดถึงอาสาสมัคร
พี่คิดว่าอาสาสมัครเป็นงานของผู้ที่มาให้ เมื่อก่อนพี่ก็คิดแบบนี้ แต่จริงๆคือเราได้รับด้วยนะ คือเราได้เรียนรู้ชีวิตคน เราได้เรียนรู้ประสบการณ์ผ่านชีวิตคนเพราะว่าในโรงพยาบาลมีตั้งแต่คนจนยันคนรวยแต่พอเจ็บป่วยมาทุกคนก็เหมือนกันหมด มีความต้องการเหมือนกันหมด คือต้องการกำลังใจ ต้องการเพื่อน ต้องการความห่วงใย ซึ่งในโรงพยาบาลเองก็ยังมีคนมาเป็นอาสามัครน้อยก็อยากให้คนมาทำในส่วนนี้เยอะๆเอาทักษะของเราที่เราถนัดมาช่วยผลักดันงานตรงนี้ การที่พี่ได้มาทำงานตรงนี้พี่คิดว่าเรามองชีวิตตัวเองละเอียดขึ้นนะ มีความเข้าใจคนมากขึ้นว่า ทำไมเขาต้องโวยวาย ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ แต่พอได้ไปอยู่ตรงนั้นมันทำให้เราเข้าใจว่า ทุกอย่างมันมีที่มานะ คนจะแสดงพฤติกรรมแบบนั้นได้มันมีที่มาที่ไปหมด ต้องรู้จักเข้าใจความทุกข์และเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้






โดย น.ส.อมรรัตน์  เงินสูงเนิน
นักศึกษาฝึกงาน มูลนิธิกระจกเงา


วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

คำบอกเล่าจาก นศ.ฝึกงาน

          นางสาวถิรนันท์ ช่วยมิ่ง หรือกุ๊งกิ๊ง นักศึกษาจากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เอกจิตวิทยามหาวิทยาลัยบูรพา นักศึกษาอีกหนึ่งคนที่เลือกมาฝึกงานที่มูลนิธิกระจกเงา เธอบอกถึงเหตุผลที่มาฝึกงานที่นี่ว่า ได้ฟังการนำเสนอจากรุ่นพี่ แล้วรู้สึกประทับใจ เพราะจะได้ลงพื้นที่ ได้เห็นอะไรที่แปลกใหม่ที่มากกว่าการทำงานในออฟฟิศ เธอเล่าให้เราฟังว่า ได้ทำในส่วนหน้างานของโครงการผู้ป่วยข้างถนน งานหลักๆที่ทำก็จะเป็นการลงพื้นที่พบผู้ป่วยและนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษา ก็จะมีการพูดคุยกับผู้ป่วยเพื่อขอทราบประวัติและเกลี้ยกล่อมให้ผู้ป่วยเข้ารักษาตัว อีกหน้าที่หนึ่งก็จะเป็นการไปเยี่ยมผู้ป่วยที่สถานสงเคราะห์ต่างๆ 
               กุ๊งกิ๊งบอกต่อว่า เคสที่ได้ไปลงพื้นที่แล้วรู้สึกประทับใจก็คือเคสแรกเลย เพราะมาฝึกงานวันแรกก็ได้ลงพื้นที่เลย แล้วเป็นเคสที่ค่อนข้างป่วยหนัก ผู้ป่วยนอนอยู่ข้างถังขยะ หายใจอิดโรย ทันทีที่ไปถึงหัวหน้าโครงการก็เข้าไปพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับผู้ป่วยและเกลี้ยกล่อมให้ไปรักษาตัว คำถามที่สำคัญของหัวหน้าโครงการคือ "ไปรักษาตัวนะ จะได้หายเจ็บ" ทันทีที่ผู้ป่วยตอบตกลงเราก็ติดต่อรถเพื่อนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล เมื่อไปถึงโรงพยาบาลกว่าที่คุณหมอจะยอมนำผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษา กว่าผลตรวจจะออก ก็เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี ซึ่งทำให้การลงพื้นที่ครั้งแรกของเรา ทำให้เราเข้าใจถึงความสำคัญของโครงการผู้ป่วยข้างถนนเลยในทันที เมื่อถามถึงสิ่งที่ได้จากการฝึกงานที่มูลนิธิกระจกเงา กุ๊งกิ๊งบอกว่า มูลนิธิกระจกเงา คือกระจกใบใหญ่ที่สะท้อนอีกมุมของสังคม มุมที่ยังมีคนต้องการความช่วยเหลือ ทำให้พวกเราได้เห็นโลกใบใหม่แต่ไม่ใช่แค่เห็น มูลนิธิกระจกเงายังพาเราเข้าไปสัมผัส มูลนิธิกระจกเงาไม่ได้สอนแค่การทำงานแต่ยังสอนการใช้ชีวิตและสิ่งสำคัญที่สุดคือการสอนให้เห็นคุณค่าของคำว่า 'ให้' สอนให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สอนให้ช่วยเหลือสังคมมันคือการให้ที่ยิ่งใหญ่ เพราะทุกคนในมูลนิธิกระจกเงาเชื่อว่าสังคมสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และอีกสิ่งหนึ่งที่ได้รับและรู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่มากคือ 'มิตรภาพ' เป็นมิตรภาพที่ประทับใจที่สุดในชีวิต ทั้งเพื่อนที่ฝึกงานด้วยกันและพี่ๆเจ้าหน้าที่ทุกคน เราใช้เวลารู้จักกันเพียงไม่นานแต่เรารู้สึกเหมือนรู้จักกันมาเป็นปี ทุกคนรักและเอ็นดูซึ่งกันและกัน ยามที่พวกเราเหนื่อย ก็จะคอยมีกำลังใจ รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะให้กันเสมอ มิตรภาพที่ได้รับจึงเป็นของขวัญที่มีค่าและนับเป็นความโชคดีที่สุดในชีวิต
               ข้อความที่อยากฝากถึงน้องๆ 
คำว่า 'ฝึกงาน' ที่อื่นอาจจะได้แค่ การจำลองชีวิตการทำงานผ่านออฟฟิศหรือบริษัท แต่สำหรับมูลนิธิกระจกเงา จะเป็นการจำลองชีวิตหารทำงานผ่านสังคมจริงๆ ผ่านโลกกว้างและไม่ใช่แค่มองเห็น แต่เรายังได้เข้าไปสัมผัสกับความจริงอีกมุมหนึ่งของสังคม มูลนิธิกระจกเงาทำให้เรามีภูมิคุ้มกันกับความกลัวและความเหนื่อย ทำให้เรารู้จักทำเพื่อคนอื่นมากกว่าตัวเอง พอก้าวเข้ามาในมูลนิธิกระจกเงาแล้ว เราจะภูมิใจในคำว่า 'นักศึกษาบ้าฝึกงาน'




โดย น.ส.อมรรัตน์  เงินสูงเนิน
นักศึกษาฝึกงาน มูลนิธิกระจกเงา






คำบอกเล่าจาก นศ.ฝึกงาน

            น.ส.อาภาพร  สุวรรณะ หรือ แอ๋น นักศึกษาจากคณะศิลปศาสตร์ สาขา การพัฒนาสังคม ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เล่าให้ฟังถึงเหตุผลของการมาฝึกงานที่มูลนิธิกระจกเงาว่า เธอรู้จักและได้ยินชื่อมูลนิธิกระจกเงามานานแล้วตั้งแต่เรียนมัธยม เพราะเป็นองค์กรที่ทำเกี่ยวกับเรื่องเด็กหาย เรื่องสังคม ก็ค่อนข้างตรงกับสายที่ตนเรียนมาคือ สายพัฒนาสังคม คิดว่าน่าจะได้ประสบการณ์เยอะ ส่วนหนึ่งก็เป็นความฝันด้วยว่าต้องมาที่นี่ให้ได้ ถึงจะไกลแค่ไหนก็อยากมาเพราะมันเป็นความฝันของเรา แอ๋นได้เล่าเกี่ยวกับหน้างานที่เธอได้ทำคือ โครงการอาสามาเยี่ยมให้เราฟังว่า ตอนแรกก่อนที่จะมาฝึกงานโครงการอาสามาเยี่ยมไม่ได้อยู่ในลิสที่เราจะเลือกเลย แต่พอมาฝึกงานจริงๆก็ปรึกษากับพี่สุกี้ว่าจะฝึกโครงการไหนที่จะตรงกับสายที่เรียนมาโดยตรง ตอนนั้นมีให้เลือกอยู่สองโครงการคือ โครงการโรงพยาบาลมีสุขและโครงการอาสามาเยี่ยม เธอก็ตัดสินใจเลือกโครงการอาสามาเยี่ยมเพราะคิดว่าน่าจะได้ลงพื้นที่บ่อยและตรงกับสายที่เธอเรียนมาที่สุด เธอเล่าให้ฟังต่อว่า ฝึกในโครงการอาสามาเยี่ยม รู้สึกประทับใจกับทุกเคสที่ไป แต่จะมีอยู่เคสนึงที่ประทับใจมากคือเคสของ คุณย่าอารมณ์ดีที่ดูแลลูกชายที่นอนป่วยอยู่ เวลาไปลงพื้นที่แกจะอารมณ์ดีมากจะมีมุกตลกเสมอ และตอนที่ไปลงพื้นที่แกก็จะมีของดีให้เป็นธงชัยอันเล็กๆเป็นของมงคลเอามาให้เรา แอ๋นบอกกับเราว่า แต่สิ่งที่ประทับใจที่สุดเวลาไปลงพื้นที่คือ “รอยยิ้ม” รอยยิ้มของพวกเขาเป็นเหมือนพลังไฟที่คอยชาร์ตใจเราให้สู้ต่อ...
            เมื่อถามถึงความรู้สึกที่ได้มาฝึกงานที่นี่ แอ๋นได้เล่าว่า ตอนแรกที่มาฝึกงานคือกังวลเรื่องเพื่อนมาก เพราะมากับเพื่อนแค่สองคนกลัวว่าจะเข้ากับใครไม่ได้ แล้วก็กังวลเรื่องหัวหน้าโครงการก็กลัวว่าจะเข้ากับเขาไม่ได้ แต่พอมาจริงๆ คือเล่นกันแบบเป็นพี่เป็นน้อง มันก็เลยทำให้เรามีความสุขในเรื่องของการทำงานด้วย มีความรู้สึกว่า ที่นี่ไม่เหมือนที่ฝึกงานแต่เป็นเหมือนโรงเรียนแห่งหนึ่ง เพื่อนที่มาฝึกงานก็เป็นเหมือนเพื่อนใหม่ของเรา มันเหมือนเป็นคลาสคลาสหนึ่ง อาจเป็นเพราะมีเด็กฝึกงานเยอะด้วย เราก็เลยรู้สึกอย่างนั้น  ที่นี่มีมากกว่าความสนุกบางทีเราได้ประสบการณ์ได้แนวคิดต่างๆกลับไปด้วย
          
              ข้อความที่อยากฝากถึงรุ่นน้อง
   มูลนิธิกระจกเงาเป็นเหมือนห้างสรรพสินค้าที่ให้เราได้มาเลือกซื้อสินค้า ทั้งในเรื่องของสังคม ความหลากหลายของกลุ่มคน ความหลากหลายของงาน ทั้งหน้างานของเพื่อนและของเราเอง ถ้าใครได้มาฝึกงานที่นี่หรือมีโอกาสได้มาที่นี่จะดีมาก เอาง่ายๆก็คือที่เดียวคุ้ม





โดย น.ส.อมรรัตน์  เงินสูงเนิน
นักศึกษาฝึกงาน มูลนิธิกระจกเงา
                                                                                                     


                                                                                                               



วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

คำบอกเล่าจาก นศ.ฝึกงาน

                ทางมูลนิธิกระจกเงา มีโครงการ นักศึกษา(บ้า)ฝึกงาน ซึ่งเราเปิดรับนักศึกษาฝึกงานจากทุกที่ เพราะเราต้องการกำลังเพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนให้กับองค์กร ทุกๆ ปี มูลนิธิกระจกเงาจะมีนักศึกษาฝึกงานเข้ามาเป็นจำนวนมาก และเราก็มีหนึ่งคำบอกเล่าจากเพื่อนนักศึกษาฝึกงานที่จะมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์การฝึกงานให้ได้ฟังกัน
            คนแรกคือ น.ส. เหมวรรณ มงคล หรือ แก้ม นักศึกษาจากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขา นิเทศศาสตร์ เอกประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยบูรพา ได้บอกเล่าถึงเหตุผลที่มาฝึกงานที่นี่ว่า ได้ฟังการแนะแนวจากพี่สุกี้ เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิกระจกเงา ที่ได้ไปแนะแนวเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ขององค์กรให้ฟังที่มหาวิทยาลัย แก้มได้พูดถึงส่วนของหน้างานที่ได้ทำคือ การประชาสัมพันธ์ ซึ่งก็ได้ทำตรงกับสายที่ตนเรียนมา แต่ก็มีส่วนได้ไปช่วยเหลืองานในส่วนของโครงการอื่นๆด้วย เช่น โครงการอาสามาเยี่ยม ที่จะได้ลงไปเยี่ยมคนชราตามบ้าน นำของใช้ และอาหารแห้งไปให้ รวมไปถึงโครงการแบ่งปัน ที่เราจะได้ไปช่วยแยกของจากผู้ที่มาบริจาค เธอยังเล่าให้เราฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ประทับใจตอนที่ได้ไปลงพื้นที่กับโครงการอาสามาเยี่ยม เป็นเคสของคุณตากับคุณยายที่อยู่กันสองคน คุณตาจะเป็นคนที่คอยป้อนข้าวคุณยายทุกครั้ง ทั้งมื้อเช้า กลางวัน เย็น ซึ่งคุณตาก็ป่วยเป็นโรคหัวใจ แต่ลักษณะก็ไม่ได้เหมือนกับคนป่วย เพราะคุณตามีกำลังใจที่อยากจะดูแลคุณยายด้วยความรัก เธอยังได้เล่าต่ออีกว่า แต่ละเคสที่ได้ไปก็จะทำให้รู้สึกมีกำลังใจ ทุกครั้งที่ได้ไปก็จะได้รับกำลังใจกลับมาเหมือนว่าเราไปมอบให้เขาเราก็ได้รับกลับมาด้วย
           
            ข้อความที่อยากฝากถึงรุ่นน้อง
                        ฝากถึงน้องๆที่ไม่ชอบทำงานในออฟฟิศ ชอบงานลุยๆ ก็แนะนำให้มามูลนิธิกระจกเงา เราจะได้เพื่อนเยอะ เพื่อนที่นี่ก็จะนิสัยเป็นกันเอง สนิทกันเร็ว เรามาที่นี่เราไม่ได้ฝึกงานแค่ในสายงานที่เราเรียนมา แต่เราได้อะไรหลายๆอย่างกลับไปจากทุกๆโครงการที่มูลนิธิกระจกเงา








                                                            โดย น.ส.อมรรัตน์  เงินสูงเนิน 
นักศึกษาฝึกงานมูลนิธิกระจกเงา



วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

กีฬาสีกระจกเงา 2557

"บนทางเดินที่มีขวากหนาม ถ้าเธอคร้าม ถอยไปฉันคงเก้อ ฉันยังพร้อมช่วยเธอเสมอ เพียงตัวเธอ ไม่หนีไปเสียก่อน" 
กีฬาขอบคุณกองกำลัง นักศึกษาฝึกงาน 103 คน จากหลายสถาบันการศึกษา ที่มาร่วมขับเคลื่อนกิจกรรมทางสังคมกับเราในเทอมนี้ครับ พวกเขาเบื้องหลัง กองหนุน กองเสริม กองหน้า ในภารกิจงานของเรา พวกเขาคือส่วนหนึ่งของ มูลนิธิกระจกเงาครับ












 นักศึกษาฝึกงานมูลนิธิกระจกเงา

วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557

ความรู้สึกของ นศ.ฝึกงาน


          ฉันได้ไปลงพื้นที่กับโครงการผู้ป่วยข้างถนน เคสที่ได้ไปให้การช่วยเหลือนั้น ผู้ป่วยเป็นโรคสะเก็ดเงิน เธอชื่อแคท อายุประมาณ 30 ปี โรคสะเก็ดเงินกำเริบหนักขึ้น จนทำให้เธอเป็นอัมพฤกษ์ช่วงล่าง ช่วยเหลือตัวเองได้เพียงแค่หยิบจับสิ่งของที่อยู่ใกล้ตัว นอกจากที่เธอจะโดนโรคสะเก็ดเงินทำร้ายร่างกาย และแผลกดทับที่ทำให้เธอขยับตัวในแต่ละครั้งด้วยความเจ็บปวด เธอยังโดนทำร้ายทางใจ คือการถูกคนที่รักทอดทิ้ง โดยนำเธอมาทิ้งไว้ที่บ้านของคนที่อุปการะเธอตั้งแต่เด็กๆ เธอถูกแฟนทิ้งได้สามเดือนแล้ว และเป็นสามเดือนที่เธอต้องทนทุกข์อยู่กับโรค เธอเป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เด็ก ผู้อุปการะเธอเลี้ยงดูเธอตามยถากรรม เธอร้องไห้ทุกครั้งที่เล่าเรื่องราวชีวิตของเธอที่ผ่านมา


          เมื่อเราเดินทางมาถึงก็พบเธอนอนอยู่บนเตียงกับร่างอันผอมบาง รอบๆเตียงและบนที่นอนมีแต่สะเก็ดผิวหนังที่หลุดลอก และถ้วยชามทั้งเก่าและใหม่วางทิ้งเอาไว้ เมื่อเธอเห็นพวกเรามาถึง เธอก็ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เธอบอกว่าในตอนแรกเธอหมดสิ้นกำลังใจแล้ว แต่เธอก็ยังมีความหวังว่ามูลนิธิกระจกเงา จะเข้ามาช่วยเหลือเธอ สีหน้าที่เบิกบาน และรอยยิ้มของเธอแสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน

          ฉันเข้าไปพูดคุยพูดเล่นกับเธอ ทุกครั้งที่เธอยิ้มและหัวเราะ มันทำให้ฉันต้องยิ้มตาม เธอเป็นคนสวย และมีรอยยิ้มที่สวยงาม ฉันได้แต่คิดในใจว่าเรื่องแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับเธอเลย ฉันรู้สึกว่าการที่เราได้เข้าไปให้การช่วยเหลือ และเป็นกำลังใจให้เธอนั้น ในทางกลับกันรอยยิ้มของเธอก็เป็นกำลังใจให้กับฉันและพี่ๆทุกคน ให้มีแรงใจในการทำงานต่อไป มันเป็นรอยยิ้มที่ฉันรู้สึกประทับใจมากๆ การมาช่วยเหลือผู้ป่วยในเคสนี้แล้วนอกจากคำขอบคุณที่เธอมอบให้แก่พวกเราแล้ว ฉันก็ต้องขอบคุณที่เธอมอบรอยยิ้มแห่งความสุขนั้นส่งกลับมา ทำให้พวกเรามีกำลังใจในการทำงาน และลืมความเหนื่อยล้าไปได้เลย



อรอนงค์ พิริยะวณิชย์
นิสิตชั้นปีที่3 นิเทศศาสตร์ ประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยบูรพา
นศ.ฝึกงาน มูลนิธิกระจกเงา

วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2557

ความรู้สึกของ นศ.ฝึกงาน

          ในการลงพื้นแต่ละครั้ง สิ่งที่ได้รับกับมาในแต่ละครั้งมันมีความหมายมาก บางเรื่องสอนให้เราเข้มแข็ง บางเรื่องทำให้เรามีกำลังใจในการทำอะไรหลายๆอย่างให้ประสบความสำเร็จ

          และในครั้งนี้ก็เช่นกัน กับรักแท้ของคุณตาและคุณยาย ที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมากว่า 60 ปี ช่วงหลายปีมานี้ที่คุณยายความจำไม่ดีเหมือนเช่นเดิม คุณตา ก็ใช้ชีวิตดูแลคุณยายอย่างไม่ห่างกายมาโดยตลอด
          "ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาไม่เคยทะเลาะกันเลย" คุณตาเล่าไปหัวเราะไป ทำให้เราเห็นถึงความรักที่คุณตามีให้คุณยาย ทุกๆ มื้ออาหารคุณตาจะป้อนข้าวให้คุณยายกินก่อนทุกครั้ง คุณตาบอกว่าถ้าไม่ป้อนยายก็ไม่กิน

          เมื่อหันไปเห็นจานข้าวคุณตา เราก็ถามคุณตาว่า ทำไมคุณตาถึงยังไม่กินข้าว คุณตาตอบกลับมาว่า รอให้เขาอิ่มก่อนแล้วเราค่อยกินทีหลัง
ความรักที่คุณตามีให้คุณยายช่วยสอนให้เราเข้าใจอะไรในหลายๆอย่าง ความรักและกำลังใจที่มีจากคุณยายทำให้คุณตาเข้มแข็ง และอยากที่จะอยู่เพื่อดูแลคุณยายตลอดไป

          นอกจากอาหารและอากาศ ความรัก และกำลังใจ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ที่ สามารถช่วยให้คนๆหนึ่งมีกำลังใจและแรงผลักดันที่จะสู้กับเรื่องราวร้ายต่างๆ ได้




เหมวรรณ มงคล นิสิตภาควิชานิเทศศาสตร์ ม.บูรพา
นศ.ฝึกงาน มูลนิธิกระจกเงา

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

อีกรุ่นผ่านไปกับ นักศึกษาฝึกงานโครงการ ngoscyber ปี 2556 มีพบก็ต้องมีจากก่อนจากเรามีการถอดบทเรียน นักศึกษาฝึกงาน ซึ่งจะทำกันทุกๆรุ่น

อีกรุ่นผ่านไปกับ นักศึกษาฝึกงานโครงการ ngos cyber ปี 2556 มีพบก็ต้องมีจาก แต่ก่อนจากเรามีการถอดบทเรียน นักศึกษาฝึกงาน ซึ่งจะทำกันทุกๆรุ่น และรุ่นนี้ก็เป็นการถอดบทเรียนเหมือนทุกรุ่นที่ผ่านมา สิ่งที่ได้ได้เสียงสะท้อนจากนักศึกษาฝึกงานในการฝึกงานที่นี่ ที่มูลนิธิกระจกเงา

เริ่มต้นส่วนใหญ่นั้นน้องๆ หลายๆ คน ที่มาอาจจะไม่เหมือนกัน บ้างก็มาจากรุ่นพี่แนะนำ เพื่อนแนะนำ หาที่ฝึกไม่ทัน เปลี่ยนที่ฝึกกระทันหัน ตั้งใจมาฝึกที่นี่โดยเฉพาะ ค้นเจอในอินเตอร์เน็ต แต่นั้นก็ไม่สำคัญสำหรับเราว่าจะนักศึกษาจะมาฝึกงานที่นี่ด้วยสาเหตุอะไร สิ่งที่พวกเราคิดว่าสำคัญคือ เมื่อน้องๆ มาฝึกงานที่นี้เขาจะได้เรียนรู้อะไรบ้างจากเรา และเราจะได้อาสาสมัครในรูปนักศึกษาฝึกงานมาช่วยขับเคลื่อนงานองค์กรของเราให้เดินหน้า นักศึกษาฝึกงานก็เหมือนเป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันงานหลายๆส่วนขององค์กรให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้

ส่วนเสียงที่น้องๆ สะท้อนออกมา หลังจากได้ฝึกงานที่มูลนิธิกระจกเงามาได้ระยะเวลาหนึ่ง บ้างก็ 3 เดือน บ้างก็ 4 เดือน เวลาเหมือนจะนานแต่แป๊บๆ เวลาผ่านไปไวมาก แต่ละวัน แต่ละเดือน เวลาเดินไปไวมากๆ

 น้องๆ หลายคนบอกกับเราว่าดีใจที่ได้มาฝึกงานที่นี่ สิ่งที่พวกเขาได้รับ นอกจากความรู้ในด้านเทคนิคเกี่ยวกับสายงานที่เรียนมาแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเขาได้คือมิตรภาพ ไม่ว่าจะจากพี่ จากเพื่อน มันเป็นมิตรภาพที่มีความรู้สึกผูกพันธ์กันมากในช่วงระยะเวลาไม่กี่เดือน ความเป็นอิสระ สบายๆ เป็นตัวของตัวเอง และอีกสิ่งหนึ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้คือสังคม หลายๆ คนบอกว่า มุมมองของตนเองในด้านสังคมของเขาเปลี่ยนไป ข้อนี้เราคิดว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นแสดงว่าเรามีคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสังคม กับเพื่อนร่วมสังคมเพิ่มขึ้น

ประโยคนี้เป็นบางประโยคที่น้องๆ ได้บอกกับเราไว้ในมุมมองด้านสังคมที่พวกเราได้เรียนรู้จากการฝึกงานที่นี่นอกเหนือจากประสบการด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับสายงานที่เรียนมา

"จากประสบการณ์การลงพื้นที่กับโครงการอื่นๆ ที่ไม่ตรงกับหน้างานที่เรียนมา ได้มาเห็นเบื้องหลังของภาพที่แชร์ในเพจ facebook ขององค์กร ได้รู้ว่าแต่ละภาพนั้นไม่ได้มาง่ายๆ แต่มันมาจากการทำงานจริงๆ"

"ได้เรียนรู้ได้ประสบการณ์ในการไปลงช่วยงานโครงการอื่น "

"ประทับใจความสัมพันธ์ภายในองค์กร เหมือนพี่เหมือนน้อง ดูเป็นกันเอง และรู้สึกดี ที่ได้ทำอะไรหลายๆอย่าง ได้ลงพื้นที่ร่วมกับโครงการอื่นๆ ได้เกิดมุมมอง ได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น ทำให้มุมมองในสังคมเปลี่ยนไป "

"เปลี่ยนมุมมองด้านสังคมเยอะเหมือนกัน เช่นผู้ป่วยข้างถนน ก่อนหน้านี้เราคิดว่าเขาคือคนบ้า แต่พอได้ไปลงพื้นที่ครึ่งหนึ่งแล้วทำให้สัมผัสได้ว่า เขาไม่ใช่คนบ้าเขาก็คือคนเหมือนกัน เพียงแต่เขาเป็นผู้ป่วยคนหนึ่งเท่านั้นเอง"




ภาพประกอบอาจจะไม่ครบทุกคน และมี นักศึกษาฝึกงานโครงการอื่นๆ ด้วย เพราะมิตรภาพที่น้องๆได้รับคือเพื่อนนักศึกษาฝึกงานด้วยกันถึงแม้จะฝึกอยู่คนละโครงการก็ตามค่ะ

By พี่เจี๊ยบ NgosCyber

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

นศ. บ้าฝึกงาน .........


"นศ. บ้าฝึกงาน" คำคำนี้มักจะได้ยินจากน้องๆ นศ. ฝึึกงาน ที่เลือกมาฝึกงานที่มูลนิธิกระจก ด้วยการค้นเจอในอินเตอร์เน็ตแล้วมาสะดุดกับคำ คำนี้ "นศ. บ้าฝึกงาน"

นักศึกษาฝึึกงานสำหรับ มูลนิธิกระจกเงานั้น เราถือว่าเป็นอาสาสมัครสำหรับกระจกเงาด้วย
เพราะว่านอกจากน้องๆ นศ.ฝึกงาน จะได้ฝึกงานในสายงานที่ตนเองเลือกที่จะลงฝึกงานแล้ว
น้องๆก็ยังเป็นกำลังเสริมของ จนท.ได้หมุนเวียนไปช่วยกิจกรรมอื่นๆขององค์กรด้วย

ที่กระจกเงาเรามีหน้างานหลายโครงการที่ต้องใช้กำลังคนในการลงพื้นที่ หรือใช้กำลังคนในการจัดการ ในขณะที่ จนท.ของเราเอง มีแผนกหนึ่งไม่เกิน 4คน บางโครงการมี. จนท.เพียงคนเดียว บางโครงการมีเยอะขึ้นมาหน่อย 2คน ^^"
ดังนั้นในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน หรือช่วง Summer จึงเป็นช่วงนาทีทองที่มีกำลังคนมาช่วยหนุนเสริมเราเป็นอย่างดี

ทุกๆวันตอนเย็นเวลา4โมงเย็นที่กระจกเงาจะมีชั่วโมงลงแรง หรือชั่วโมงอาสา หรือน้องๆบางคนแอบเรียก ชั่วโมงฟิสเนส ให้ นศ.ฝึกงาน และเจ้าหน้าที่มารวมตัวกันเพื่อลงมือลงแรงทำหน้างานที่ต้องใช้กำลังคน

น้องๆหลายๆคนบอกว่าไม่เคยทำอะไรแบบนี้ แต่ตอนทำเรามาทำช่วยกันทำแป๊บเดียวก็เสร็จก็สนุกไปอีกแบบ
แต่ช่วงไหนคนน้อยก็เล่นเอาอวมกันไปตรมๆกันทั้งพี่ทั้งน้อง ^^"

ภาพประกอบด้านล่างนี้บังเอิญไปเปิดเจอใน Facebook เป็นภาพที่น้องๆนศ. ฝึกงานในช่วง Summer ของปี 2555ที่กำลังช่วยกัน ทำความสะอาดและทาสีห้อง ในช่วงที่มูลนิธิกระจกเงาเพิ่งย้ายมาอยู่ที่วิภาวดี62ใหม่ๆ มองแล้วก็ชื่นใจ น้องๆ ทำไปยิ้มไป หัวเราะไปทั้งๆที่งานช่วงนั้นทั้งร้อนและเหนื่อย ^^"

แต่นอกเหนือจากกิจกรรมลงแรงแล้ว เราก็ยังมีกิจกรรมสันทนาการอื่นๆสำหรับ นศ.ฝึกงาน. รวมถึงมีกิจกรรมส่งเสริมให้น้องๆได้เล่นกีฬาสานความสัมพันธ์และเพื่อสุขภาพด้วย เดี๋ยวจะหาภาพตัวอย่างมาให้ได้ดูกัน




นศ. ฝึกงานภาคฦดูร้อน ปี 2555

.............

มาเพิ่มเติมส่วน ตัวอย่าง กิจกรรมอื่นๆที่น้องๆ นศ ฝึกงานของเราได้ร่วมทำกันค่ะ ^^

ภาพนี้เป็นภาพกิจกรรมชั่วโมงลงแรง ตอน 4 โมงเย็น จะมีทั้งพี่และน้องๆนศ ฝึกงาน มาช่วยกันทำกิจกรรมที่เรียกว่าลงแรง ซึ่งกิจกรรมแต่ละวันนั้นอาจจะไม่เหมือนกัน อย่างภาพด้านล่างนี้เป็นภาพที่ทุกคนระดมแรงมาช่วยกันคัดแยกหนังสือ แบ่งประเภทหนังสือ เพื่อคัดหนังสือดีให้น้องๆที่อยู่ต่างจังหวัดได้อ่านกัน หรือเป็นหนังสือที่หมุนเวียนไปไว้ที่จุดบริการตู้หนังสือเย็นๆ ตามวินมอเตอร์โซต์ของโครงการอ่านสร้างชาติ งานนี้ก็ได้ได้ทั้งเหงื่อและมิตรภาพที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน
นศ. ฝึกงานภาคฦดูร้อน ปี 2556

ส่วนภาพด้านล่างนี้ก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่น้องๆ ให้ความร่วมมือร่วมใจกันในการช่วยประชาสัมพันธ์ร้านแป่งปันของมูลนิธิกระจกเงาให้บุคคลในชุมชนที่อยู่ใกล้เคืองเราได้รู้จัก อยากบอกว่าชุดสีสันโดนใจมากค่ะ ถึงแม้อากาศจะร้อน แต่เห็นรอยยิ้มของทุกคนแล้วบ่งบอกได้ว่าทุกคนมีความสุขที่ได้ทำ ^^

นศ. ฝึกงานภาคฦดูร้อน ปี 2556

ส่วนด้านล่างสองภาพนี้เป็นภาพกิจกรรมที่น้องๆ นศ.ฝึกงานได้ทำกิจกรรมสันทนาการตอนเย็นในชั่วโมง นศ.ฝึกงาน กันสนุกสนาน กันเลยทีเดียวค่ะ กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่จะทำให้น้องๆ ได้ทำความรู้จักกันเร็วขึ้น เนื่องจาก นศ. ฝึกงานนั้นมาจากหลายสถาบัน หลายจังหวัด ต่างภูมิภาค การที่มีกิจกรรมอะไรสนุกๆ ได้ทำร่วมกันก็เป็นการเปิดหน้าต่างของตัวเองกับเพื่อนร่วมงานได้ค่ะ

นศ. ฝึกงานภาคฦดูร้อน ปี 2555
นศ. ฝึกงานภาคฦดูร้อน ปี 2555

และสุดท้ายนี้เป็นภาพกิจกรรมกีฬาสานสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้องที่ถ่ายรูปร่วมกันหลังปิดงานกีฬา ซึ่งปีนั้นเราแข่งฟุตบอลและแชร์บอลกันค่ะ

นศ. ฝึกงานภาคฦดูร้อน ปี 2555